söndag, september 26, 2010

Thailändsk översättning av svenska begrepp

Nu är det säkert femte eller sjätte gången som jag försöker reda ut de begreppen som jag ska skriva om här nedan. Varje gång jag gör det så tycker jag att jag har förstått det klart och tydligt och har koll på saken. Men när jag kollar det igen så fattar jag noll igen. Det är bara bevis på att man aldrig kan bli färdigt lärd trots att man tror det.

Beslutfattande organ i riks-, regional- och lokalnivå

Riksdagen – Landstingsfullmäktige(det gamla namnet är Landsting) – Kommunfullmäktige

รัฐสภา – สภามณฑล – สภาเทศบาล

Verkställande organ i riks-, regional- och lokalnivå

Regering – Landstingsstyrelse – Kommunstyrelse

รัฐบาล – คณะกรรมการมณฑล – คณะกรรมการเทศบาล

Länsstyrelse råkar bara har samma avledning som Landstingsstyrelse och Kommunstyrelse men den förstnämnda är tillsynsmyndighet från staten. (Wikipedia: Länsstyrelsen är regeringens företrädare i länen. Den viktigaste uppgiften är att se till att de mål som riksdagen och regeringen slagit fast inom en rad olika politikområden uppnås samtidigt som hänsyn tas till länets förutsättningar. Länsstyrelserna är alltså statliga myndigheter till skillnad från landstingen, som är en form av kommuner, sekundärkommun, med fullmäktige som väljs av invånarna.)

Regeringen har inte så bra möjligheter att ha tillsyn över kommunernas arbete så de lämnar ansvar till Länsstyrelse som ligger geografiskt nära kommunerna istället.

Landshövding (ผู้ว่าราชการจังหวัด) som utses av regeringen är Länsstyrelsens boss(?).

Länsstyrelse borde heta คณะกรรมการปกครองมณฑล

Anledningen till att jag väljer ordet ปกครอง är att Länsstyrelse har tillsynsfunktion därför tycker jag inte att ordet บริหาร passar lika bra där.

Län är มณฑล. Landstingskommun som många brukar kalla för Landsting tycker jag kan heta เทศมณฑล (Sekundärkommun = Län + kommun)

Jag har bloggat som samma ämne tidigare: http://thaitolken.blogspot.com/2008/05/s-styrs-sverige-vs-thailand.html

Jämför man mitt tidigare blogginlägg och det nuvarande så märker man kanske skillnader. Man lär sig ju något nytt varje dag. Man kan aldrig bli färdigt lärd, tycker jag. Därför försöker jag vara ”en halv kopp te” som lämnar utrymme för nya kunskaper och nya synvinklar.


Intressant länk: http://www.local.moi.go.th/webst/decon.htm

måndag, september 06, 2010

Till min kära son... ถึงลูกชายสุดที่รัก

บันทึกถึงลูกชายสุดที่รัก

วันนี้เป็นวันที่แม่มีความสุขที่สุดในบทบาทของความเป็นแม่
หนูเป็นเด็กดีที่สุดในโลก
แม่ได้ยินเสียงหนูตื่นแล้ว แต่เสียงหนูยังมีความสุขดีอยู่ แม่เลยปล่อยให้หนูอยู่คนเดียวในห้องไปก่อน
แปดโมงครึ่งแม่อุ้มหนูจากเตียง
เรากินอาหารเช้ากัน หนูไม่งอแงเลย
น้องหิว แม่บอกว่าน้องหิวนะ แม่ป้อนนมน้องก่อนนะ แล้วแม่ก็เดินไปอุ้มน้องจากเตียงเพื่อป้อนนมน้อง
ระหว่างนั้นหนูก็นั่งกินอาหารเช้าต่อเองจนเสร็จ
แล้วเราก็อยู่กันตามประสาแม่ลูก พี่น้อง
หนึ่งชั่วโมงผ่านไป ทั้งหนูและน้องเริ่มเบื่อ เริ่มงอแง
แม่พาหนูขึ้นรถเข็นเดินเพื่อไปเล่นสนามเด็กเล่น

เล่นจนได้เวลาอาหารเที่ยงเราก็เดินกลับบ้านกัน หนูช่วยแม่จูงรถเข็นน้องตั้งแต่สนามจนถึงบ้าน

เมื่อถึงบ้านแล้วหนูก็ถอดรองเท้า เก็บร้องเท้า
แม่อุ่นอาหารให้หนู หนูก็กินเอง ทำให้แม่สามารถนั่งให้นมน้องได้พร้อมกัน

หลังอาหารเที่ยงเรานั่งเล่นกันสักพัก แล้วหนูก็เข้านอนกลางวัน
น้องก็นอนกลางวัน
แม่ก็นอนกลางวันไปงีบนึง

แล้วก็ตื่นมาทำงานแค่ไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง

บ่ายแก่ๆ หนูก็ตื่น
แล้วเราก็นั่งกินขนมปังรองท้องกัน เพื่อที่จะได้ออกไปเล่นที่สนามเด็กเล่นอีกรอบ ก่อนกลับมากินอาหารเย็น

ที่สนามเด็กเล่น หนูก็เล่นแบบเดิมๆ
เริ่มจากกะบะทราย
ไปต่อที่ม้าโยก
แล้วก็ชิงช้า
วันนี้หนูไม่มีอารมณ์เล่นกระดานลื่น
และหนูก็ไม่เล่นที่บ้านน้อย

แต่หนูเล่นชิงช้าตัวใหญ่ตั้งนาน
น้องหลับดี แม่เลยลงนอนที่ชิงช้าใหญ่กับหนู
ทั้งสนามมีเราแค่สามคนแม่ลูก
น้องนอนในรถเข็น
หนูกับแม่นอนเคียงข้างกันบนชิงช้า
ชิงช้าโยกไปเบาๆ
และแม่ก็นอนกอดหนู
ตาแม่มองฟ้า จมูกแม่พยายามหอมผมหนู และกายแม่ก็พยายามแนบกับกายของหนู

ถึงผมหนูจะไม่มีกลิ่นหอมของแชมพู ถึงแก้มหนูจะไร้กลิ่นแป้ง แต่แม่ก็ชื่นใจที่สุดในโลกที่ได้นอนข้างๆ หอมแก้มหอมผมหนู

เริ่มใกล้เวลาอาหารเย็นแล้ว
หนูช่วยแม่จูงรถเข็นน้องกลับบ้านเหมือนเดิม

แม่บอกหนูว่า แม่ต้องไปกดตังค์ก่อนนะ แล้วแม่อยากไปร้านไทย ไปซื้อทุเรียน
เราแวะเข้าเมืองก่อนกลับบ้าน

แม่ได้ยินเสียงดนตรีเปิดหมวก
แม่อยากให้หนูได้ใกล้ชิดกับดนตรี แม้ปู่นักดนตรีของหนูจะจากไปแล้ว แม่ลุงนักดนตรีของหนูจะไม่ได้อยู่ใกล้ๆ แม้แม่จะเล่นเครื่องดนตรีอะไรไม่ได้สักอย่าง แต่แม่ก็หวังอยากให้หนูได้มีโอกาสใกล้ชิดกับดนตรี เพราะฉะนั้นทุกครั้งที่เราเดินผ่านดนตรีเปิดหมวก แม่จะพาหนูหยุดฟัง

แล้วหนูก็ชอบปรบมือให้นักดนตรี
และนักดนตรีก็ยิ้มอย่างมีความสุข

วันนี้หนูเรียนรู้สิ่งใหม่
แม่ยื่นเงินเหรียญให้หนู แล้วบอกหนูว่าให้เอาเงินไปหย่อนให้นักดนตรี หนูก็ทำได้
ทีนี้แม่ก็รู้แล้วว่า จริงๆ แล้วหนูเข้าใจที่แม่พูดมากกว่าที่แม่คิดไว้ (หมายความว่าต่อไปหนูจะทำฟอร์มว่าไม่เข้าใจ ไม่ได้แล้วนะคะ :-) )

เราข้ามสี่แยกสุดท้ายก่อนถึงบ้าน
หนูมองเห็นปั้นจั่นที่อีกฝากหนึ่งของถนน แล้วหนูก็หยุดกลางคัน
แม่จำเป็นต้องดึงให้หนูเดินต่อ (ไม่งั้นเราจะโดนรถเหยีบนะลูก)
แล้วหนูก็โมโห นั่งลงกับพื้น ไม่ยอมไปต่อ
แม่อธิบายว่าแม่จะพาหนูไปดู แต่หนูต้องนั่งรถเข็นนะ เพราะว่าทางนั้นมันรถเยอะ
แม่ไม่รู้ว่าหนูไม่เข้าใจจริงๆ หรือหนูแกล้งไม่เข้าใจ (ประโยคหลังแม่พูดเล่น) แต่หนูไม่ยอมขึ้นรถเข็น
แม่จับหนูขึ้นรถเข็น ทั้งๆ ที่หนูไม่ต้องการ แม่รู้ว่าหนูไม่ชอบ
แล้วหนูก็แผลงฤทธิ์ แต่บางอย่างหนูก็ต้องให้แม่เป็นคนตัดสินใจนะคะ...

แล้วเราก็เดินไปดูปั้นจั่นกัน หนูยิ้มร่าเริงเหมือนเดิม

...
เราเดินกลับบ้านกัน
แม่นึกขึ้นได้ว่า เวลาเข็นรถผ่านธรณีประตูทางเข้าตึกมันหนักมาก แม่เลยคิดว่าจะลองให้หนูลงจากรถเข็นตั้งแต่ก่อนผ่านประตู แม่จะได้ถนอมหลังหน่อย
...

เรากลับเข้าบ้านได้โดยสวัสดิภาพ หนูกดเรียกลิฟท์ หนูกดเลือกชั้น หนูกดกริ่งประตู
แล้วหนูก็ถอดรองเท้า เอารองเท้าเก็บเข้าที่ (หนูคงเป็นคนเดียวในบ้านที่มีระเบียบ)
...

แม่อุ่นอาหารเย็นให้หนู
มื้อนี้เป็นปีกไก่ย่างที่เหลือจากงานเลี้ยง กับข้าวสวย
น้องหิวอีกแล้ว แม่ต้องให้นมน้อง ไม่สามารถฉีกเนื้อไก่คลุกข้าวให้หนูได้
หนูก็ลุยเองเลย

แม่นั่งมองหนูกิน
แล้วแม่ก็นึกขอบคุณหนู ที่หนูเป็นเด็กดี
แม้จะเป็น "วันแรก" ก็ตาม

...
แม่สัญญากับตัวเองว่า จากนี้ไปแม่จะทำตัวใหม่
ที่ผ่านมาแม่ชอบบ่นเกี่ยวกับหนู แม้จะเป็นการพูดเล่น เพราะว่าแม่เขินที่จะชมหนูให้ใครต่อใครฟัง
แม่คิดว่าการชมหนูให้หนูได้ยินในขณะที่หนูทำดีเป็นการเพียงพอแล้ว
แม่ไม่จำเป็นต้องอวดหนูให้ใครต่อใครฟัง
แต่แม่อาจจะกำลังคิดผิด ...

แค่อยากบันทึกว่า แม่รักหนูที่สุดในโลกเลยค่ะ
...

แม่